
ณ ตอนนี้การทำ Influencer marketing ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ เพราะในปัจจุบัน ผู้คนค่อนข้างที่จะติดตามหรือดูทีวีกันน้อยลงกว่าสมัยก่อนค่อนข้างเยอะ เหล่าบรรดาเจ้าของสินค้าที่ทำการตลาดผ่านช่องทางทีวี ก็หันมาทำการตลาดในช่องทางออนไลน์ โดยใช้ Influencer หรือผู้มีชื่อเสียงในสังคมออนไลน์เข้ามาช่วยทำให้สินค้า/บริการ เป็นที่รู้จัก และสามารถสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาล
แต่การเลือก Influencer มีให้เลือกหลากหลายประเภท แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า Influencer ประเภทไหน ที่จะเข้ากับแบรนด์ของเรามากกว่ากัน วันนี้ทางแอดมินได้รวบรวมมาทั้งหมด 5 ประเภท Influencer เพื่อไขข้องใจให้กับทุกๆคน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇
ประเภทที่ 1 : Mega Influencer (1M+)
เหล่า Celeb ชื่อดังระดับท็อปที่มียอดฟอลเป็นล้านก็คือ Mega-influencer นั่นเอง Influencer กลุ่มนี้มีอิทธิพลสูงมาก ๆ โดยมักเป็นผู้ทำเทรนด์ไม่ว่าจะเป็นสินค้า อาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยว สร้างแฮชแท็ก และมีอิทธิพลต่อ Pop culture
จุดเด่นของการเลือก Influencer ในเลเวลนี้ คือแบรนด์สามารถนำสินค้าตัวเองออกสู่สายตาชาวโลกนับล้านคนได้ภายในโพสต์เดียว สามารถเพิ่ม Brand awareness ได้อย่างรวดเร็วมากกว่า Influencer เลเวลอื่นอย่างเทียบไม่ติด โดยแบรนด์ใหญ่ ๆ เท่านั้นที่จะใช้วิธีนี้ได้ เพราะค่าโพสต์ของ Mega-influencer สูงมาก ๆ
แต่! จริง ๆ แล้วผู้บริโภคจะ Convert (กลับ,เปลี่ยน) มาใช้สินค้าที่ได้รับการโปรโมตโดย Influencer ทั่วไปมากกว่า Celebrity ถึง 10 เท่า เพราะการใช้ Mega-influencer จะไม่ได้ดูจริงใจเท่ากับการเลือก Influencer ที่มีขนาดเล็กกว่า
Mega-influencer เหมาะกับแบรนด์ที่มีงบสูงมาก และต้องการสร้าง Awareness ในวงกว้างเท่านั้น
ประเภทที่ 2 : Macro Influencer (500K-1M)
Macro influencer จะมี Follower ที่ค่อนข้างเยอะมาก ๆ เพราะว่าหลาย ๆ คนเป็นคนเด่นคนดังของสังคมอยู่แล้ว เช่น นักร้อง นักแสดง ทำให้มีพลังในการ Reach คนสูง ช่วงสร้าง Brand awareness ได้ดี แต่ก็ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อยู่เล็กน้อย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การเลือก Influencer กลุ่มนี้เป็นการทำการตลาดด้วย Influencer ที่คุ้มค่ามากที่สุด โดยมี Cost Per Thousand Impressions ที่ต่ำกว่า เลเวลอื่น ๆ ซึ่งทำให้ Macro-influencer เป็นจุดตรงกลางที่ดีสำหรับยอด Reach และราคา
อย่างไรก็ตาม Macro influencer จะไม่ค่อยมีกำลังในการสร้าง Engagement และ Conversion ให้กับแบรนด์ เพราะความเป็นกันเองกับผู้ติดตามเหลืออยู่น้อยมาก
Macro influencer เหมาะกับแบรนด์ที่มีงบสูงและต้องการ Brand awareness
ประเภทที่ 3 : Mid-tier Influencer (50K-500K)
Mid-tier influencer เป็นกลุ่มที่เริ่มมี Follower เยอะ โดยหลาย ๆ คนในนี้มีอาชีพหลักคือการทำ Content ไปเลย ทำให้มั่นใจได้ว่าได้โพสต์คุณภาพ และมีความมืออาชีพในการทำงานและติดต่อกับแบรนด์มากในระดับนึง
ข้อดีของการเลือก Influencer ในเลเวลนี้คือ เริ่มสร้าง Brand awareness ได้แล้วโดยที่ราคายังไม่แรงเท่ากับ Influencer ที่อยู่ในเลเวลที่สูงกว่า แต่ก็ยังคงเรื่องการสร้าง Engagement ได้อยู่บ้าง
จุดแข็งที่สุดของ Mid-tier Influencer คือความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มผู้ติดตามที่ชอบ Influencer คนนั้นมาก ๆ และสร้าง Brand awareness ในกลุ่มคนทั่ว ๆ ไปได้ในเวลาเดียวกัน
Mid-tier influencer เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีงบประมาณและต้องการคุณภาพหรือความเป็นมืออาชีพ
ประเภทที่ 4 : Micro Influencer (10K-50K)
ขยับมาอีกหน่อยคือ Micro influencer โดยมียอดฟอลประมาณ 10K-50K และถือได้ว่าเป็นดาวเด่นของวงการ Influencer marketing เลยทีเดียว นอกจากจะมี Engagement ที่สูงไม่ได้น้อยหน้า Nano influencer มากนัก ยังได้ Reach ที่มากกว่าอีกด้วย
และด้วยจำนวนยอดฟอลที่ยังไม่เยอะมาก คนที่มาฟอลจะเป็นคนรู้จักและคนที่ชอบคอนเทนท์ของ Influencer คนนั้นจริง ๆ ทำให้การเลือก Micro influencer สามารถช่วยให้แบรนด์เข้าหากลุ่มเป้าหมายที่ Niche และตรงจุด ส่งผลให้ Marketing campaign ที่ลงทุนไปยิ่งได้ผลคืนมาดีมากขึ้น
อย่างไรก็ตามถ้าหวังทั้ง Engagement ทั้ง Reach จาก Micro influencer อาจต้องใช้หลาย ๆ คนหน่อย เพราะ Micro influencer ยังไม่มีความสามารถในการเพิ่ม Brand awareness ได้เหมือน Influencer ที่ใหญ่กว่า ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายและความยุ่งยาก
Micro influencer เหมาะกับแบรนด์ที่พอมีงบประมาณบ้าง และต้องการ Conversion สูง
ประเภทที่ 5 : Nano influencer (10K-50K)
Nano influencer คือกลุ่ม Influencer ที่มีผู้ติดตามน้อยที่สุด คืออยู่ที่ประมาณ 1K-10K แต่อย่าคิดว่าเลขน้อยจะไม่ดี เพราะถ้าเลือก Influencer กลุ่มนี้ ยอด Engagement สูงแน่นอน Nano influencer ได้ยอดไลค์สูงถึง 8% จากจำนวน Follower ทั้งหมด ซึ่งรายใหญ่อย่าง Mega influencer ที่ได้แค่ 1.6% เทียบไม่ติดเลย
Influencer กลุ่มนี้จะได้ยอดฟอลจากคนที่เป็นเพื่อนหรือคนรู้จักในชีวิตจริง ทำให้มีการตอบโต้กับคนที่มาคอมเมนต์อย่างเป็นกันเอง การเลือกใช้ Nano-Influencer จะทำให้กลุ่มเป้าหมายของเรารู้สึกว่าแบรนด์ของเราถูกเพื่อนแนะนำมาด้วยความจริงใจ ทำให้เปิดใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่ม Brand loyalty และการแชร์ต่อ
แต่ด้วยยอด Follower ที่ยังไม่สูง การเลือก Influencer ประเภทนี้จะช่วยไม่ได้ในการสร้าง Brand awareness นอกจากนี้หลาย ๆ คนจะยังไม่คุ้นเคยกับการทำงานกับแบรนด์ ทำให้ต้องคอยตามคอยเช็คเยอะกว่าเลเวลที่สูงกว่า
Nano influencer เหมาะกับแบรนด์เล็ก ๆ ที่พึ่งเริ่มและยังไม่มีงบประมาณมากนัก
👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇
สรุปแล้ว>> การเลือก influencer ก็ขึ้นอยู่กับตัวสินค้า/บริการ และการวางแผนทางการตลาดเป็นหลักค่ะ ว่าจริงๆแล้ว เราในฐานะเจ้าของแบรนด์หรือนักการตลาด จะวางตำแหน่ง (Position) ของแบรนด์ไว้อยู่ส่วนไหน เพื่อการทำการตลาดในแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพและสร้างยอดขายให้มากที่สุดค่ะ..
🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥🔥
สนใจติดต่อสอบถามได้เลยนะคะ
✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
เทเลคอม เอ็กซ์เพิร์ท แมเนจเม้นท์
“ที่หนึ่งเรื่องไอทีเทคโนโลยี
.. ให้คุณก้าวล้ำไปกับเรา..”
✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
———————–
ติดต่อสอบถามได้ที่ : For more information
☎️ : 02-098-9566
🌍 : www.tem.co.th
📨 : info@tem.co.th
#WEBSITE #APPLICATION #Software #MAINTENANCE
#MARKETING #SocialMedia #ITSolutions #ITconsultant
#smarthome #smartcity #โควิด19 #ลดความเสี่ยงโควิด19